Thursday, September 29, 2011

สงสัยมั้ย?…ธรรมะ



















จุดเทียนยังไงให้ชีวิต















คุณธรรมเป็นสิ่งที่หยอดเข้าสู่หัวใจได้ไม่ยาก

cover30

lite talk

เมื่อมีใครถามว่าพระพุทธเจ้าสอนคนที่ไม่ใช่พระอย่างไร
ใครบ้างที่เหมาะจะฟังธรรมของพระพุทธเจ้า
ผมมักยกเอาโจรสูตรมาตอบ
เพราะสูตรนั้น เป็นบันทึกว่าแม้แต่โจร พระพุทธเจ้าก็สอน

เรื่องของเรื่องคือเมื่อจะไม่เป็นคนดีแน่ๆล่ะ
จะขอเอาเปรียบชาวบ้านด้วยการลักเล็กขโมยน้อยไปอย่างนี้ล่ะ
ท่านก็บอกวิธีว่าเป็นโจรอย่างไร จะไม่ถึงความพินาศเร็วนัก

ท่านว่า อย่าฆ่าเจ้าทรัพย์ เอาของแล้วก็อย่าเอาชีวิตเขาอีก
อย่าเอาของเขาไปจนหมด เหลือๆของจำเป็นไว้ให้เขาบ้าง
อย่าฉุดคร่าสตรีไปด้วย เอาแต่ของเขาก็ช้ำใจจะแย่แล้ว
อย่าประทุษร้ายสตรี คือห้ามอกห้ามใจอย่าไปรังแกผู้หญิง
อย่าลักเอาของบรรพชิต เพราะผลมันจะรุนแรงและรวดเร็ว
อย่าถือเอาสมบัติราชาหรือทางการ เพราะเป็นของใหญ่ของแผ่นดิน
อย่าปล้นใกล้ถิ่นที่อยู่อาศัยนัก เดี๋ยวคนจะจำหน้าได้
แล้วก็อย่าสุรุ่ยสุร่าย รู้จักเก็บออมทรัพย์เอาไว้ใช้บ้าง

รวมแล้วคุณธรรมของโจร คือ อย่าโหดเหี้ยมเกินไป
มีน้ำใจบ้าง แล้วก็หัดเก็บออมเผื่อตั้งตัว
คิดเปลี่ยนใจในภายหลังค่อยมีความเป็นไปได้หน่อย

จากโจรสูตร คุณจะเห็นชัดเจนว่าพระพุทธเจ้าท่านยืดหยุ่น
ใครประกาศว่าฉันจะไม่รักดี ฉันจะไม่มีศีลมีสัตย์ล่ะ
จะอ้างกรรมเวร อ้างตระกูล หรือยอมรับว่ามักง่าย
อย่างไรก็แล้วแต่ พระพุทธเจ้าก็ไม่พยายามโน้มน้าว
ให้กลับใจมาเป็นสุจริตชนทันทีทันใด
แต่ค่อยๆใส่คุณธรรมเข้าไปในหัวใจทุจริตชนนั่นแหละ
ลงว่าถ้าเป็นโจรมีคุณธรรม
คุณธรรมก็ติดตัวเป็นมงคลคุ้มครองได้บ้าง
ไม่ต้องตายเร็ว ไม่ต้องตายอนาถ
และถ้าเวรกรรมมีจริง
ก็ไม่ต้องไปใช้กรรมหนักหนาสาหัสเกินไปนัก

คุณธรรมเป็นสิ่งที่หยอดเข้าสู่หัวใจใครๆได้ไม่ยาก
เพราะเกิดเป็นมนุษย์ได้นี่
อย่างไรก็ต้องมีดี มีมโนธรรมติดตัวกันมาทุกคน
เนื่องจากจิตดวงแรกสุดของสภาพมนุษย์
มีความสว่าง มีความเป็นกุศล
กุศลจึงเป็นฐานของสภาวะมนุษย์
ไม่ดื้อด้านขนาดไม่ยอมมีคุณธรรมกันบ้างเลย

และนี่ก็เป็นไอเดียเบื้องต้นได้เหมือนกันครับ
สำหรับคนที่ถามๆกันเสมอ
ว่าจะช่วยญาติมิตรที่หลงผิดได้อย่างไร
เริ่มต้นขึ้นมาอย่าพยายามหักด้ามพร้าด้วยเข่า
แต่ให้ใช้วิธีเหยาะน้ำลงหินบ่อยๆจนหินกร่อนเอง
ถ้าอยากให้เขาค่อยๆดีขึ้นในทางไหน
คุณสร้างแรงบันดาลใจกระทบจิตเขาบ่อยๆ
เช่น เขาเป็นพวกไร้เหตุผล ดื้อด้าน ด่าพระด่าเจ้า
เขาด่าคำไหนมา ก็อย่าเพิ่งห้าม อย่าเพิ่งคัดค้าน
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่าด่ากลับว่าชั่วว่าเลว
อย่าเอานรกมาแช่ง อย่าเอาบาปมาขู่
เพราะนอกจากจะไม่ลดโทสะโมหะให้เขา
ยังมาเพิ่มโทสะโมหะที่ฝ่ายเราด้วย

บางบ้านพอจะตื่นมาใส่บาตร
อาจมีเสียงลอยลมมาว่า
"ไปให้ทำไม พวกไม่รู้จักทำมาหากิน"
เราก็อาจตอบแบบลอยลมกลับไปนิ่มๆว่า
"ท่านออกมาเดินเหนื่อยๆทุกเช้า ก็น่าเห็นใจเหมือนกันนะ"
พูดอะไรก็ได้ ที่เปลี่ยนลบให้เป็นบวกทีละนิด
แปรโทสะและการขี้เกียจเป็นการได้คิดวันละหน่อย
จะดีกว่าคุณพยายามพูดยาวๆ หรือเถียงแรงๆ
ด้วยความหมายใจว่าจะให้ญาติเปลี่ยนแปลงทันที
นอกจากจะเป็นไปไม่ได้แล้ว
ยังเหมือนไปซ้ำให้เขาอาการหนักขึ้นด้วยสิครับ

ดังตฤณ
กรกฎาคม ๕๓

Tuesday, September 27, 2011

FW: : อานิสงส์การให้ทาน (ส่งต่อก็ได้บุญ)


มาสร้างบุญบารมีกันเถอะ

1.
นั่งสมาธิอย่างน้อยวันละ 15 นาที(หรือเดินจงกรมก็ได้)
   
--- เพื่อสติปัญญาที่เฉลียวฉลาดขึ้นทั้งภพนี้และภพหน้า
                     
เพื่อจิตใจที่สว่างผ่อนปรนจากกิเลส ปล่อยวางได้ง่าย
                     
จิตจะรู้วิธีแก้ปัญหาชีวิตโดยอัตโนมัติ
                     
ชีวิตจะเจริญรุ่งเรืองไม่มีวันอับจน
                     
ผิวพรรณผ่องใส สุขภาพกายและจิตแข็งแรง
                     
เจ้ากรรมนายเวรและญาติมิตรที่ล่วงลับจะได้บุญกุศล

2.
สวดมนต์ด้วยพระคาถาต่างๆอย่างน้อยวันละครั้งก่อนนอน
   
--- เพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง
                     
ชีวิตหน้าที่การงานเจริญก้าวหน้า
                     
เงินทองไหลมาเทมา แคล้วคลาดจากอุปสรรคทั้งปวง จิตจะเป็นสมาธิได้เร็ว
                     
แนะนำพระคาถาพาหุงมหากา , พระคาถาชินบัญชร ,
                       
พระคาถายอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก เป็นต้น
                       
เมื่อสวดเสร็จต้องแผ่เมตตาทุกครั้ง

3.
ถวายยารักษาโรคให้วัด , ออกเงินค่ารักษาให้พระตามโรงพยาบาลสงฆ์
 
 อานิสงส์ --- ก่อให้เกิดสุขภาพร่มเย็นทั้งครอบครัว โรคที่ไม่หายจะทุเลา
                   
สุขภาพกายจิตแข็งแรง อายุยืนทั้งภพนี้และภพหน้า
                   
ถ้าป่วยก็จะไม่ขาดแคลนการรักษา

4.
ทำบุญตักบาตรทุกเช้า
   
--- ได้ช่วยเหลือศาสนาต่อไปทั้งภพนี้และภพหน้า ไม่ขาดแคลนอาหาร
                     
ตายไปไม่หิวโหย อยู่ในภพที่ไม่ขาดแคลน ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์

5.
ทำหนังสือหรือสื่อต่างๆเกี่ยวกับธรรมะแจกฟรีแก่ผู้คนเป็นธรรมทาน
 
 อานิสงส์ --- เพราะธรรมทานชนะการให้ทานทั้งปวง ผู้ให้ธรรมจึงสว่างไปด้วยลาถยศ
                   
สรรเสริญ ปัญญา และบุญบารมีอย่างท่วมท้น เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมให้
                   
ชีวิตจะเจริญรุ่งเรืองอย่างไม่คาดฝัน

6.
สร้างพระถวายวัด
 
 อานิสงส์ --- ผ่อนปรนหนี้กรรมให้บางเบา ให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง
                     
สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง แคล้วคลาดจากอุปสรรคทั้งปวง ครอบครัวเป็นสุข
                     
ได้เกิดมาอยู่ในร่มโพธิ์ของพุทธศาสนาตลอดไป

7.
แบ่งเวลาชีวิตไปบวชชีพรามณ์หรือบวชพระอย่างน้อย 9 วันขึ้นไป
   
อานิสงส์ --- ได้ตอบแทนคุณพ่อแม่อย่างเต็มที่
                     
ผ่อนปรนหนี้กรรมอุทิศผลบุญให้ญาติมิตรและเจ้ากรรมนายเวร
                     
สร้างปัจจัยไปสู่นิพพานในภพต่อๆไป ได้เกิดมาอยู่ในร่มโพธิ์ของพุทธศาสนา
                     
จิตเป็นกุศล

8.
บริจาคเลือดหรือร่างกาย
   
อานิสงส์ --- ผิวพรรณผ่องใส สุขภาพแข็งแรง ช่วยต่ออายุ
                     
ต่อไปจะมีผู้คอยช่วยเหลือไม่ให้ตกทุกข์ได้ยาก เทพยดาปกปักรักษา
                   
ได้เกิดมามีร่างกายที่งดงามในภพหน้า ส่วนภพนี้ก็จะมีราศีผุดผ่อง

9.
ปล่อยปลาที่ซื้อมาจากตลาดรวมทั้งปล่อยสัตว์ไถ่ชีวิตสัตว์ต่างๆ
 
อานิสงส์ --- ช่วยต่ออายุ ขจัดอุปสรรคในชีวิต
                   
ชดใช้หนี้กรรมให้เจ้ากรรมนายเวรที่เคยกินเข้าไป ให้ทำมาค้าขึ้น
                   
หน้าที่การงานคล่องตัวไม่ติดขัด ชีวิตที่ผิดหวังจะค่อยๆฟื้นคืนสภาพที่สดใส
                   
เป็นอิสระ

10.
ให้ทุนการศึกษา , บริจาคหนังสือหรือสื่อการเรียนต่างๆ , อาสาสอนหนังสือ
 
อานิสงส์ --- ทำให้มีสติปัญญาดี ในภพต่อๆไปจะฉลาดเฉลียวมีปัญญา
                   
ได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนอย่างรอบรู้ สติปัญญาสมบูรณ์พร้อม

11.
ให้เงินขอทาน , ให้เงินคนที่เดือดร้อน(ไม่ใช่การให้ยืม)
 
อานิสงส์ --- ทำให้เกิดลาภไม่ขาดสายทั้งภพนี้และภพหน้า ไม่ตกทุกข์ได้ยาก
                   
เกิดมาชาติหน้าจะร่ำรวยและไม่มีหนี้สิน ความยากจนในชาตินี้จะทุเลาลง
                   
จะได้เงินทองกลับมาอย่างไม่คาดฝัน

12.
รักษาศีล 5 หรือศีล 8
 
อานิสงส์ --- ไม่ต้องไปเกิดเป็นเปรตหรือสัตว์นรก
                   
ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐครบบริบูรณ์ ชีวิตเจริญรุ่งเรือง
                     
กรรมเวรจะไม่ถ่าโถม ภัยอันตรายไม่ย่างกราย เทวดานางฟ้าปกปักรักษา

                           
อานิสงส์ 10 ข้อของการไม่กินเนื้อสัตว์

1.
เป็นที่รักของบรรดาเทพ พรหม ตลอดจนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย
2.
จิตอันเป็นมหาเมตตาย่อมบังเกิดขึ้น                            
3.
สามารถตัดขาดความอาฆาต ดับอารมณ์เหี้ยมโหดเครียดแค้นในใจลงได้
4.
ปราศจากโรคภัยร้ายแรงมาเบียดเบียนร่างกาย
5.
มีอายุมั่นขวัญยืน
6.
ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากเทพทั้งปวง
7.
ยามหลับนิมิตเห็นแต่สิ่งที่ดีงามเป็นสิริมงคล
8.
ย่อมระงับการจองเวร สลายความอาฆาตแค้นซึ่งกันและกัน
9.
สามารถดำรงอยู่ในกระแสพระนิพพาน ไม่พลัดหลงตกลงสูอบายภูมิ
10.
ทันทีที่ละสังขารจากโลกนี้ จิตจะมุ่งสู่สุคติภพ

อานิสงส์การจัดสร้างพระพุทธรูปหรือสิ่งพิมพ์อันเกี่ยวกับพระธรรมคำสอนเป็นกุศลดังนี้


1.
อกุศลกรรมในอดีตชาติแต่ปางก่อน จะเปลี่ยนจากหนักเป็นเบา จากเบาเป็นสูญ
2.
สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง สรรพภยันตรายสลาย ปวงภัยไม่มีคนคิดร้ายไม่สำเร็จ
3.
เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติแต่ปางก่อน เมื่อได้รับส่วนบุญไปแล้วก็จะเลิกจองเวรจองกรรม
4.
เหล่ายักษ์ผีรากษส งูพิษเสือร้าย ไม่อาจเป็นภัยอยู่ในที่ใดก็แคล้วคลาดจากภัย
5.
จิตใจสงบ ราศีผ่องใส สุขภาพแข็งแรง กิจการงานเป็นมงคล รุ่งเรืองก้าวหน้าผู้คนนับถือ
6.
มั่นคงในคุณธรรม ความอุดมสมบูรณ์ปรากฏ ( เกินความคาดฝัน) ครอบครัวสุขสันต์
วาสนายั่งยืน

7.
คำกล่าวเป็นสัจจ์ ฟ้าดินปราณี ทวยเทพยินดี มิตรสหายปรีดา หนี้สินจะหมดไป
8.
คนโง่สิ้นเขลา คนเจ็บหายได้ คนป่วยหายดี ความทุกข์หายเข็ญ
สตรีจะได้เกิดเป็นชายเพื่อบวช

9.
พ้นจากมวลอกุศล เกิดใหม่บุญเกื้อหนุน มีปัญญาล้ำเลิศ บุญกุศลเรืองรอง
10.
สิ่งที่สร้างจะบังเกิดเป็นกุศลจิตแก่ทุกคนที่ได้พบเห็นเป็นเนื้อนาบุญอย่างเอนกทุกชาติของ        
ผู้สร้างที่เกิดจะได้ฟังธรรมจากพระอริยเจ้าปัญญาในธรรมแก่กล้าสามารถได้อภิญญาหก สำเร็จโพธิญาณ

                           

อานิสงส์การบวชพระบวชชีพรามณ์
             
( บวชชั่วคราวเพื่อสร้างบุญ , อุทิศให้พ่อแม่เจ้ากรรมนายเวร )
1.
หน้าที่การงานจะเจริญรุ่งเรือง ได้ลาภ ยศ สรรเสริญตามปรารถนา
2.
เจ้ากรรมนายเวรจะอโหสิกรรม หนี้กรรมในอดีตจะคลี่คลาย
3.
สุขภาพแข็งแรง สติปัญญาแจ่มใส ปัญหาชีวิตคลี่คลาย
4.
เป็นปัจจัยสู่พระนิพพานในภพต่อๆไป
5.
สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง โพยภัยอันตรายผ่อนหนักเป็นเบา
6.
จิตใจสงบ ปล่อยวางได้ง่าย มองเห็นสัจธรรมแห่งชีวิต
7.
เป็นที่รักที่เมตตามหานิยมของมวลมนุษย์มวลสัตว์และเหล่าเทวดา
8.
ทำมาค้าขึ้น ไม่อับจน การเงินไม่ขาดสายไม่ขาดมือ
9.
โรคภัยของตนเอง ของพ่อแม่ และของคนใกล้ชิดจะเบาบางและรักษาหาย
10.
ตอบแทนพระคุณของพ่อแม่ได้เต็มที่สำหรับผู้ที่บวชไม่ได้เพราะติดภาระกิจต่างๆ
 
ก็สามารถได้รับอานิสงส์เหล่านี้ได้ด้วยการสร้างคนให้ได้บวชสนับสนุนส่งเสริมอาสาการ
   
ให้คนได้บวช

       
ทั้ง หมด นี้เป็นเพียงตัวอย่างบุญที่ยกขึ้นมาเพื่อแสดงให้เห็นถึงอานิสงส์ที่ท่านพึงจะได้รับจงเร่งทำบุญเสียแต่วันนี้ เพราะเมื่อท่านล่วงลับท่านไม่สามารถสร้างบุญได้อีกจนกว่าจะได้เกิด หากท่านไม่มีบุญมาหนุนนำแรงกรรมอาจดึงให้ท่านไปสู่ภพเดรัจฉาน ภพเปรต ภพสัตว์นรกที่ไม่อาจสร้างบุญสร้างกุศลได้ต่อให้ญาติโยมทำบุญอุทิศให้ก็อาจไม่ได้รับบุญ   ดังนั้นท่านจงพึ่งตนเองด้วยการสร้างสมบุญบารมีซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ท่านจะนำติดตัวไปได้ทุกภพทุกชาติเสียแต่วันนี้ด้วยเทอญ

 
 
*** ส่งต่อก็ได้บุญ การให้ธรรมเป็นทานชนะการให้ทั้งปวง

Friday, September 23, 2011

รู้จริงคืออะไร ธรรมะหลวงพ่อจรัญ


รู้จริงคืออย่างไร รู้จริงต้องทำได้ รู้จำต้องท่องได้ รู้แจ้งต้องคิดก่อน คิดพิจารณาคิดแล้วคิดอีก เอาตราชั่งขึ้นมาดูเอาตราชูขึ้นมาชั่ง มีสติสัมปชัญญะ ไม่ลดละภาวนา จึงจะรู้แจ้งเห็นจริง ตั้งสติไว้ให้ได้ ตรงนี้สำคัญ บางคนไม่สนใจ ไม่เข้าใจ น่าเสียดายเวลามีประโยชน์

ท่านทั้งหลาย พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า สร้างชีวิตให้มีค่า เวลาของเราจะมีประโยชน์ไม่ใช่น้อยแม้เพียงวินาทีเดียว นาฬิกานั้นมีเวลาเท่ากันหมด แต่อยู่ที่ท่านผู้ใดจะใช้เวลาแม้วินาทีเดียวให้มีประโยชน์และคุ้มค่ากว่ากันก็ขึ้นอยู่กับปัญญาในตัว ส่วนความรู้อยู่ในตำราต้องสนใจศึกษาเอาเอง ถ้าไม่สนใจแก้ปัญหาชีวิตไม่ได้ น่าเสียดายและเสียใจด้วย เท่ากับไม่มีธรรมประจำจิต ไม่มีชีวิตประจำใจ ดีแต่รู้มากแต่ไม่มีธรรมในใจ

ผู้ใหญ่อยู่กับผู้น้อยต้องมีธรรมะมีเมตตาและปรารถนาดีต่อผู้น้อยและให้อภัยเสมอนี่เป็นธรรมะที่ง่ายที่สามารถจะแก้ปัญหาได้ มีข้อน่าคิดว่าบริวารมาเพราะน้ำใจดีบริวารหนีเพราะน้ำใจลดบริวารหมดเพราะน้ำใจแห้งบริวารกลั่นแกล้งเพราะไม่ยุติธรรม

เมื่อมีปัญหาธรรมะแก้ปัญหาได้ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงศึกษาสำเร็จศิลปศาสตร์ ๑๘ ประการมาก่อน แต่ความรู้ทั้ง ๑๘ ศาสตร์นั้นก็ยังแก้ปัญหาชีวิตไม่ได้ แก้ปัญหาทุกข์ไม่ได้ จึงเสด็จออกผนวชเพื่อหาธรรมะมาแก้ปัญหาให้ชาวโลกมาสอนชาวโลกให้พ้นทุกข์ เรียกได้ว่าแม้ทรงเป็นจักรพรรดิเป็นใหญ่ในทางโลกด้วยสำเร็จศิลปศาสตร์ ๑๘ ประการแล้วยังคงแก้ทุกข์ไม่ได้ จึงทรงละความเป็นใหญ่ทางโลกไปเสาะแสวงหาทางธรรม

จนทรงเป็นศาสดาเอกของโลกด้วยทรงพบทางแก้ทุกข์ถาวร ให้ถือเรื่องกฎแห่งกรรมเป็นใหญ่ไม่มีสิ่งใดเหนือกรรม ไม่มีใครพ้นกรรมไปได้แม้แต่พระพุทธองค์ยังต้องเสวยกรรม เช่น ในอดีตชาติเป็นโคบาล โคหิวน้ำมากน้ำลายไหลจะไปกินน้ำที่เป็นโคลนน้ำสกปรก โคบาลก็ตีวัวไม่ให้กิน
ให้ไปกินหนองน้ำหน้าโน้น ครั้นเมื่อทรงเป็นพระพุทธเจ้าแล้วทรงกระหายน้ำมากให้พระอานนท์ศรีอนุชาไปตักน้ำให้เสวย พระอานนท์ทูลตอบว่า “ไม่ได้พุทธเจ้าข้า ต้องเสด็จไปตรงโน้น น้ำใสดี” จึงต้องทนกระหายน้ำเสด็จต่อไปด้วยความยากลำบาก

การดำเนินชีวิตนั้นให้เดินสายกลาง ถ้าพูดตามสมัยใหม่ต้องพูดว่า ทำอะไรเอาปัจจุบัน อดีตอย่ารื้อฟื้น กิจที่ชอบทำเดี๋ยวนี้ให้เสร็จ นี่คือสายกลาง เรามีหน้าที่อะไรทำให้เสร็จ อาตมาอายุ ๗๓ แล้ว อยู่ถึงตี ๓ ทุกวัน ฉันข้าวคำสองคำก็พอแล้ว คนผลัดวันประกันพรุ่งใช้ไม่ได้หรือมีนิสัยไม่ดี ๔ ประการนี้ก็ทำให้ขาดคุณภาพชีวิต คือ ขี้เกียจ ขี้โกง ขี้อิจฉา ขี้ริษยา

พระพุทธเจ้าพบธรรมะ เพราะทรงเดินทางสายกลาง ก่อนหน้านั้นปัญจวัคคีย์ทิ้งพระองค์ไป เพราะคิดว่าพระพุทธเจ้าไม่เคร่งครัด ไม่ตั้งพระทัยจริง ที่พระองค์ทรงสำเร็จจนทรงเป็นศาสดาเอกของโลกเพราะทรงฝืนใจ คนเราถ้าฝืนใจไม่ได้ก็ดีไม่ได้ เพราะฉะนั้นสรุปใจความ เข้าวัดให้ได้ ๓ วัด ไม่ใช่แค่ไปวัด อย่างไปวัดอัมพวันนะ อย่าไปให้มันเสียค่ารถ มันไกล ถ้าไปแล้วต้องได้ ๓ วัดต่อไปนี้คือ
๑. วัตถุธรรม
๒. วัดอารมณ์
๓. วัดจิตของเรา

วัตถุธรรม คือ ให้ท่านมีธรรมะ ธรรมะมี ๔ ข้อ
๑. ธรรมชาติ การเกิด แก่ เจ็บ การพลัดพรากจากกัน
๒. ความมีเหตุผล
๓. กฎแห่งกรรม คือ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
๔. การฝืนใจ ไม่ปล่อยไปตามอารมณ์ซึ่งยากมาก ตามใจตนเสียคนหมด ดีไม่ได้เลย

วัดอารมณ์ ถ้าอารมณ์ไม่ดี คนใจดีก็กลายเป็นคนใจดำ ใจสูงก็กลายเป็นคนใจต่ำ คนไว้ใจได้ก็กลายเป็นคนโลเล คนมีเสน่ห์ก็กลายเป็นคนน่าชัง คนพูดน่าฟังก็กลายเป็นคนพูดไม่เข้าหูคน อารมณ์ไม่ดีจะเสียหมด เพราะขาดสตินั่นเอง พระพุทธเจ้าให้วิชาแก้ปัญหาชีวิต คือ วิชากรรมฐาน แปลว่าการ กระทำให้ฐานะดี ทำให้จิตเดินทางสู่ที่หมายแห่งความสำเร็จของชีวิต แก้ปัญหาชีวิตได้ทุกประการ แล้วก็สวดพาหุงมหากา สวดให้มีสติ สวดให้เกิดปัญญา จะได้แก้ไขปัญหาสมปรารถนา สวดให้เท่าอายุเป็นการต่ออายุได้

พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ช่วยตัวเอง ช่วยแม่ช่วยพ่อ ช่วยส่วนรวม ช่วยสังคม และต้องสอนตัวเองอย่าถือทิฐิ คนเรามักมีทิฐิ ไม่เชื่อฟังผู้หลักผู้ใหญ่ นี่คือ โมหะ ทำให้ไม่มีปัญญา ทำให้ไม่มีสติที่จะแผ่เมตตาให้ใคร ถ้าอารมณ์ดีปลอดโปร่ง ไม่มีอะไรมาเจือปน เมตตาไม่เจือปนโทสะ ไม่อิจฉาใคร ก็แผ่เมตตาได้ ไม่จำเป็นต้องไปห้องพระ ความรักความเมตตาคือ ความผูกพันแห่งความดี

ท้ายที่สุด ขอฝากให้คิดเพื่อเพื่อนมนุษย์ว่า สิ่งที่มนุษย์ต้องการมี ๑๐ ประการ
๑. ความรัก
๒. ความนิยมชมชอบ
๓. ความเลื่อมใสศรัทธา
๔. ความมีไมตรีจิตมิตรภาพ
๕. ความเอาใจใส่
๖. ความเคารพนับถือ
๗. ความเมตตา
๘. ความเห็นอกเห็นใจกัน
๙. ความเป็นกันเอง ไม่ถือตัว
๑๐. ความเป็นธรรมชาติ ไม่ฟู่ฟ่า ไม่หรูหรา ไปเรียบ ๆ สวยเสมอต้นเสมอปลาย

และหากรักจะก้าวหน้าต้องมีคุณธรรมต่อไปนี้ ก็จะสมปรารถนาทุกประการคือ
- ขยันเอาการ งานสะอาด ฉลาดรอบคอบ
- ชอบระวัง ตั้งใจตรง ทรงศีลธรรม
- นำทางถูก ปลูกสติ ดำริชอบ
- ประกอบกุศล ได้ผลอนันต์ เป็นหลักฐานสำคัญ

หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม

ธรรมะธรรมดา พระไพศาล

ธรรมะนั้นมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง เราสามารถค้นพบธรรมะได้ในทุกอิริยาบถและทุกลมหายใจ ไม่เคยมีใครบ่นว่าฉันไม่มีเวลาหายใจฉันใด เราก็ไม่สมควรตัดพ้อว่าไม่มีเวลาปฏิบัติธรรมฉันนั้น เว้นเสียแต่ว่าเราปฏิบัติธรรมมิใช่เพื่อเข้าถึงธรรม แต่เพื่อความพิเศษมหัศจรรย์หรืออิทธิปาฏิหาริย์ แต่ถ้ามีจุดมุ่งหมายอย่างนั้นจะเรียกว่าการปฏิบัติธรรมได้อย่างไร

ธรรมขั้นสูงสุดนั้นมิได้อยู่ที่ไหน หากอยู่ในความธรรมดาสามัญ เพราะธรรมดาสามัญนั้นเอง ผู้เข้าถึงธรรมคือผู้เข้าถึงธรรมดา กลมกลืนกับธรรมดา ไม่ขัดขืนโต้แย้งกับธรรมดา ทั้งไม่ผลักไสหรือยึดติดธรรมดา เพราะธรรมดานั้นไม่มีบวกหรือลบ สูงหรือต่ำ น่ายินดีหรือไม่น่ายินดี หากเป็นใจเราต่างหากที่ไปกำหนดหมายหรือให้ค่าเอาเอง

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางโลกที่เร่งรีบอึกทึก และถูกปรุงแต่งจนพอกหนาด้วยสมมติและมายา บางครั้งเราจำเป็นต้องหลีกเร้นไปยังที่ที่สงบสงัดและปลอดโปร่งจากภารกิจ เพื่อมีเวลาพินิจจิตใจของตน จนหยั่งเห็นธรรมะหรือธรรมดาท่ามกลางความผันผวนของความรู้สึกนึกคิด ขณะเดียวกันก็เรียนรู้ที่จะอยู่อย่างกลมกลืน และเป็นมิตรกับธรรมดามากขึ้น

แต่ในที่สุดแล้ว เราจำเป็นต้องกลับมาสู่โลกกว้างและชีวิตที่เป็นจริง ต้องเกี่ยวข้องกับงานการและผู้คน เผชิญกับความแปรปรวนของสรรพสิ่งรอบตัว พบกับความสมหวังและไม่สมหวัง จนบางครั้งเราอดไม่ได้ที่จะคิดหัวนกลับไปสู่สำนักปฏิบัติอันสงบสงัด หรือไม่ก็อยากจะเก็บตัวอยู่ในห้องพระเพื่อเจริญสมาธิภาวนานานเท่านาน แต่ใช่หรือไม่ว่าในชั่วขณะนั้น เรากำลังคิดหันหลังให้กับธรรมะที่อยู่ท่ามกลางความธรรมดาสามัญ

ชีวิตที่นั่งหรือเดินภาวนาทั้งวันเป็นชีวิตที่ไม่ธรรมดาสามัญ แม้จะจำเป็น แต่ก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของชีวิตเรา เราไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ตลอด เมื่อถึงเวลาเราก็ต้องพร้อมกลับมาสู่ชีวิตธรรมดาสามัญ ซึ่งมีภารกิจและความรับผิดชอบที่ต้องใส่ใจ แต่งานการใช่ว่าจะเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติธรรม แท้จริงเป็นอุปกรณ์แห่งการเข้าถึงธรรมได้เป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้เมื่อพระรูปหนึ่งขอร้องให้อาจารย์สอนธรรม ท่านกลับถามว่า เธอฉันภัตตาหารเช้าเสร็จแล้วหรือ เมื่อศิษย์ตอบว่า ฉันเสร็จแล้ว ท่านกลับตอบว่า งั้นเธอก็กลับไปล้างจานได้แล้ว

การปฏิบัติธรรมในสำนักอันสงบสงัด เปรียบไปก็ไม่ต่างจากการฝึกซ้อมของนักกีฬา แต่การฝึกซ้อมจะมีประโยชน์อะไรหากไม่ลงไปสู่สนามจริง นักกีฬาย่อมไม่กลัวสนามจริงฉันใด นักปฏิบัติธรรมก็ไม่พรั่นพรึงโลกกว้างและชีวิตจริงฉันนั้น จะว่าไปแล้ว โลกว้างและชีวิตจริงนั่นแหละคือสถานที่ดีที่สุดสำหรับการปฏิบัติธรรม เพราะความเป็นจริงโดยเฉพาะความทุกข์คือครูที่ฉลาดทีสุดในการเคี่ยวเข็ญเราให้เข้าถึงธรรมและธรรมดา

การปฏิบัติธรรมที่แท้จริงคือการเรียนรู้ที่จะอยู่กับความพลัดพราก ความสูญเสีย และความไม่สมหวังอย่างไม่เป็นทุกข์ สามารถเข้าถึงความสงบเย็นได้ ท่ามกลางความผันผวนของโลกและชีวิต อีกทั้งยังสามารถเอื้อเฟื้อเกื้อกูลและเป็นมิตรกับผู้อื่นได้ โดยไม่แบ่งแยกหรือเลือกที่รักมักที่ชัง ทั้งหมดนี้เราสามารถเรียนรู้ได้จากชีวิตสามัญที่มีทั้งสุขและทุกข์ มีทั้งมิตรและศัตรู มีทั้งสมหวังและไม่สมหวัง

พระไพศาล วิสาโล
หนังสือ คืนสู่สามัญ

มองโลกในแง่ดี เพราะทุกอย่างมีสองด้านเสมอ


เรื่องนี้จะสอนให้เรารู้ถึงการมองโลกในแง่ดีซึ่งเป็นประโยช์ต่อทุกๆคนครับ

เจอรี่เป็นผู้จัดการของร้านอาหารแห่งหนึ่งในอเมริกา เขามักจะอารมณ์ดีอยู่เสมอ
และมักมีมุมมองต่อเหตุการณ์ต่างๆในแง่ดี เวลาที่มีใครถามเขาว่าเขาทำแบบนั้นได้อย่างไร
เขามักจะตอบว่า,,,
” ถ้าผมสามารถจะเป็นอะไรที่ดีกว่านี้ได้,,,ผมอยากจะมีฝาแฝด
!!”
 พนักงานเสิร์ฟในร้านอาหารที่เขาทำอยู่หลายคน ออกจากงานไปพร้อมกับเจอรี่เมื่อเขาออกจากงาน
เพื่อจะได้ติดตามเขาไปจากร้านหนึ่งไปยังอีกร้านหนึ่ง,,, สาเหตุทั้งหมดก็มาจากการเป็นคนมองโลกในแง่ดี
และทัศนคติของเจอรี่ เขาเป็นผู้ผลักดัน ให้กำลังใจคนอื่นได้อย่างดีเยี่ยม
ถ้ามีลูกน้องคนไหนเจอเรื่องแย่ๆมา เจอรี่จะอยู่กับเขาเสมอ
พร้อมทั้งแนะนำลูกน้องคนนั้นให้มองเห็นในด้านดีๆ หรือสิ่งที่เราสามารถเรียนรู้ได้จากเรื่องราวแย่ๆที่เกิดขึ้น
วันหนึ่ง ฉันถามเจอรี่ว่า
“ฉันไม่เข้าใจคนเราจะมองโลกในแง่ดีอยู่ตลอดเวลาได้ยังไง
คุณทำได้ยังไงนะ”

เจอรี่ตอบว่า
“ทุกๆเช้า ผมจะตื่นขึ้นมาพร้อมกับบอกตัวเองว่า
,,, ผมมีทางเลือกสองทางสำหรับวันนี้ ผมเลือกที่จะมีอารมณ์ดีตลอดทั้งวันก็ได้,,,
หรือว่าเลือกที่จะมีอารมณ์เสียตลอดทั้งวันก็ได้เหมือนกัน ,,, 
ซึ่งผมมักจะเลือกอารมณ์ดี
หรือบางครั้งถ้ามีเหตุการณ์แย่ๆเกิดขึ้น เราก็เลือกได้เหมือนกัน ว่าจะเป็นเหยื่อของเหตุการณ์
นั้นหรือว่าเลือกที่จะเรียนรู้มัน ผมมักเลือกที่จะเรียนรู้ ทุกครั้งที่มีคนมาติมาบ่นอะไร
มีทางเลือกให้เราเลือกได้ว่าจะยอมรับเสียงเหล่านั้น หรือจะมองหาด้านดีของชีวิต
,,, ผมเลือกอย่างหลัง”
“แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ ” ฉันแย้ง
“ใช่ มันไม่ง่ายเลย” เจอรี่กล่าว
“ชีวิตล้วนเต็มไปด้วยทางเลือก
เมื่อคุณตัดสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องทั้งหมดออกไปแล้ว ทุกสถานการณ์ต่างก็มีทางเลือกของมัน
,,, คุณเลือกได้ว่าจะสนองตอบตามเหตุการณ์นั้นอย่างไร ,,,, คุณเลือกได้ว่าจะให้ผู้คนรอบข้างมีผลกับความรู้สึกของคุณอย่างไร
,,, คุณเลือกที่จะมีอารมณ์ดีหรือแย่ก็ได้ มันเป็นทางเลือกว่าคุณจะใช้ชีวิตของคุณอย่างไร

หลายปีต่อมา ,,,
ฉันได้ยินข่าวว่าเจอรี่ลืมล๊อคประตูหลังร้าน และถูกปล้นโดยโจรสามคนที่มีอาวุธ
ระหว่างที่เจอรี่พยายามเปิดเซฟมือของเขาสั่น ทำให้เกิดพลาด โจรพวกนั้นยิงเขา
โชคดีที่มีคนมาพบ และนำเขาส่งโรงพยาบาลได้ทันท่วงที หลังจากการผ่าตัดที่ยาวนานถึง
18 ชั่วโมง และการดูแลรักษาในโรงพยาบาลอย่างใกล้ชิด เจอรี่ก็ได้ออกจากโรงพยาบาลพร้อมกับเศษกระสุนในร่างกาย
ฉันพบกับเจอรี่ 6 เดือนหลังจากเหตุการณ์นั้น
เมื่อฉันถามว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง เขายังคงตอบว่า “ถ้าผมเป็นอะไรที่ดีกว่านี้ได้
ผมจะเป็นฝาแฝด ,,, อยากดูแผลของผมมั๊ย”

ฉันตอบปฎิเสธแต่กลับถามถึงสิ่งที่ผ่านเข้ามาในความรู้สึกของเขาหลังจากที่
โจรพวกนั้นออกไป ” อย่างแรกที่ผมคิด คือผมไม่ได้ล๊อคประตูหลังของร้าน และหลังจากที่โดนยิงล้มลงบนพื้น
ผมก็ยังคงจำได้ว่า ผมยังมีทางเลือกสองทางนี่นา,,,
มีชีวิตต่อไป,,, หรือว่าจะตายเสียในตอนนั้น ,,, ผมเลือกที่จะอยู่ต่อไป”
“คุณไม่กลัวเหรอ” ฉันถาม
เจอรี่เล่าต่อไป
“เจ้าหน้าที่ผู้ช่วยแพทย์ทำหน้าที่อย่างดีมาก พวกเค้าคอยบอกว่าผมจะปลอดภัย
แต่เมื่อพวกเขาเข็นผมเข้าไปในห้องฉุกเฉิน ผมก็ได้เห็นความกดดันบนใบหน้าของหมอและพยาบาล
ตอนนั้นผมริ่มรู้สึกกลัวๆ ขึ้นมาจริงๆ ในสายตาของพวกเขา เต็มไปด้วยคำพูดที่ว่า
“เขาตายแล้ว”
ผมรู้ทันทีว่าผมต้องทำอะไรซักอย่าง ผมต้องแสดงปฎิกริยาให้พวกเขารู้ว่าผมยังอยู่”
“คุณทำอย่างไร” ฉันรีบถาม
“อืม,,, มีนางพยาบางคนหนึ่งตะโกนถามผมว่าผมแพ้อะไรรึเปล่า
ผมตอบว่า มี ,,, นางพยาบาลและหมอต่างก็หยุดทำงาน รอฟังคำตอบจากผม
ผมหายใจลึกๆ และตอบว่า “กระสุน!”
หลังจากที่พวกเขาหัวเราะ
ผมบอกกับพวกเขาว่าผมเลือกที่จะมีชีวิตอยู่ โปรดรักษาผมอย่างคนมีชีวิต
,,, ไม่ใช่คนตาย
 เจอรี่ใช้ชีวิตด้วยความรู้สึกขอบคุณความสามารถของหมอ
แต่มันก็เป็น เพราะทัศนคติต่อชีวิตที่น่าทึ่งของเขาด้วย
ฉันได้เรียนรู้จากเขาว่า ,,, ทุกๆวัน
คุณมีทางเลือกของชีวิต คุณเลือกที่จะรักหรือว่าเกลียดชีวิตของคุณเองก็ได้
สิ่งเดียวที่เป็นของคุณจริงๆ และไม่มีใครสามารถนำมันไปจากคุณได้ก็คือ,,,
ความคิดและทัศนคติของคุณเอง เพราะฉะนั้น ถ้าคุณสามารถใส่ใจกับมันได้ อย่างอื่นในชีวิตก็จะง่ายดายมากขึ้น

สิ่งทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า (พุทธพจน์)


มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา     มโนเสฏฐา มโนมยา
มนสา เจ ปทุฏฺเฐน     ภาสติ วา กโรติ วา
ตโต นํ ทุกฺขมนฺเวติ     จกฺกํ ว วหโต ปทํ
สิ่งทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า
มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จจากใจ
ถ้าคนมีใจชั่วเสียแล้ว
จะพูด หรือทำก็พลอยชั่วไปด้วย
เพราะการพูดชั่วทำชั่วนั้น ทุกข์ย่อมตามสนองเขา
เหมือนล้อหมุนตามรอยเท้าโคที่ลากเกวียนไปฉะนั้น
มโน ปุพฺพงฺคมา ธมฺมา     มโนเสฏฺฐา มโนมยา
มนสา เจ ปสนฺเนน     ภาสติ วา กโรติ วา
ตโต นํ สุขมนฺเวติ     ฉายาว อนุปายินี
สิ่งทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า
มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จจากใจ
ถ้าคนมีใจบริสุทธิ์แล้ว
จะพูด หรือทำก็พลอยดีไปด้วย
เพราะการพูดดีทำดีนั้น สุขย่อมตามสนองเขา
เหมือนเงาติดตามตนไปฉะนั้น
พุทธพจน์ (พุทธวจนะ)
จากหนังสือ หลักการเจริญวิปัสนากรรมฐาน ตามแนว “สติปัฏฐาน 4″
โดย พระครูเกษมธรรมทัต (สุรศักดิ์ เขมรังสี)

ปัญญา และสมาธิ (พุทธพจน์)


โย จ วสฺสสตํ ชีเว
ทุปฺปญฺโญ อสมาหิโต
เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย
ปญฺญวนฺตสฺส ฌายิโน
ผู้มีปัญญา มีสมาธิ
แม้มีชีวิตอยู่เพียงวันเดียว
ก็ประเสริฐกว่าผู้ทรามปัญญา ไร้สมาธิ
ที่มีชีวิตอยู่ตั้งร้อยปี
พุทธพจน์ (พุทธวจนะ)
จากหนังสือ หลักการเจริญวิปัสนากรรมฐาน ตามแนว “สติปัฏฐาน 4″
โดย พระครูเกษมธรรมทัต (สุรศักดิ์ เขมรังสี)

ความสุข: ท่านพุทธทาสภิกขุ


สุขสำราญคู่กับ ทุกข์ทรมาน
ความสุขสำราญที่ไม่มีธรรมะเป็นรากฐาน ก็คือความทุกข์ทรมานที่กำลังรอเวลาอยู่ !
สุขสงบ – สุขสนุก
สุขแท้ เกิดจากความสงบเท่านั้น ส่วนที่เกิดจากความวุ่นวายนั้น เป็นเพียงความสนุก หาใช่ความสุขไม่ !
สุขแท้ – สุขเทียม
ความสุขที่แท้จริง เป็นสิ่งที่ต้องได้มาเปล่าๆ โดยไม่ต้องเสียสตางค์ เหมือนดั่งที่ตรัสว่า ถอนความรู้สึกว่าตัวตนเสียได้แล้ว ก็ได้นิพพานมาเปล่าๆ ไม่ต้องเสียมูลค่าอะไร
ส่วนความสุขเทียม หรือความเพลิดเพลินที่หลอกลวงนั้น ใช้เงินื้อมาเท่าไรก็ไม่รู้จักพอ จนตัวตาย ก็ไม่พบกับความสุขที่แท้จริง!
ความสุขอันประเสริฐ
อย่ามุ่งหมาย ความสุขอันประเสริฐอะไรๆ ให้มากไปกว่าความปกติของจิต ที่ไม่ยินดียินร้าย ไม่ขึ้นไม่ลงไปตามออารมณ์ที่กระทบเพราะไม่มีสุขอะไรประเสริฐยิ่งไปกว่าความปกติของจิตนั้น

Wednesday, September 14, 2011

คนมีธรรมะ

 



ความหมายของธรรมะที่ถูกตรงถูกต้องตามครรลองพระสัจธรรมของพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า หมายถึงเครื่องชำระล้าง ฟอก ขัดเกลาจิตวิญญาณ

      เพราะฉะนั้น คนมีธรรมะก็เหมือนมีเครื่องฟอก เครื่องชำระล้าง เครื่องดูดฝุ่นในตัว ฝุ่นมันเกิดขึ้นตรงไหนก็ดูดมันออก ตรงไหนเป็นขยะก็เก็บมันทิ้ง ตรงไหนมีคราบแสงสีเสียงกลิ่นก็ชำระมันออก นั่นคือคนมีธรรมะ

      คนมีธรรมะไม่ใช่ยายแก่แร้งทึ้ง
      คนมีธรรมะไม่ใช่ตาเฒ่าหัวหงอก
      คนมีธรรมะไม่ใช่คนที่ทำตัวเป็นคนล้าหลังในสังคม
      คนมีธรรมะไม่ใช่คนที่ล่าช้าเฉื่อยชาเหยาะแหยะรวนเรหรือเหลวไหลในสังคม
      และคนมีธรรมะไม่ใช่เป็นคนที่เคร่งเครียดแล้วกลายเป็นคนที่น่าเกลียดในสังคม
      แต่ความหมายของคนมีธรรมะจะเป็นคนที่ใหม่และทันสมัยเสมอต่อทุกสภาวะทุกสถานะและทุกถิ่นทุกที่และทุกเรื่องที่ทำ
      คนที่มีธรรมะมีศักยภาพและสมรรถนะ และวิถีคิด วิถีงาน วิถีจิต วิถีชีวิตที่เป็นวิถีพุทธ คือรู้ ตื่น และเบิกบาน ตามกระบวนการของการดำรงชีวิต
      ผู้มีธรรมะย่อมชาญฉลาดทุกสถาน
      ผู้มีธรรมะย่อมมีชัยชนะทุกถิ่นทุกที่ทุกทางที่ตนอยู่อาศัย
      ผู้มีธรรมะย่อมมีสันติ สงบสุข ร่มเย็น ในขณะที่คนอื่นทุกข์ร้อน เศร้าหมอง ขุ่นมัว
      ผู้มีธรรมะจะรู้จักปล่อยวาง สลัดหลุด และไม่ ปล่อยให้อะไรมาฉุดรั้ง
      ผู้มีธรรมะย่อมมีพระอยู่ในใจ
      ผู้มีธรรมะย่อมต้องรู้จักพอ หรือถ้าต้องการก็รู้จักหยุด
      ธรรมะจึงเป็นสัญลักษณ์ของคนที่ฉลาด สะอาด สว่าง และสงบ

      ธรรมะจะดัดกายวาจาใจของเราให้กลายเป็น บุคคลที่ซื่อตรงต่อตนเอง ซื่อตรงต่อคนอื่น ซื่อ ตรงต่อสังคมส่วนรวม ความซื่อตรงนี่แหละคือคุณลักษณะของคนมีธรรมะ และความซื่อตรงมันเกิดขึ้นได้จากการที่ต้องเรียนรู้ธรรมะ

      มักจะมีคำพูดว่าคนมีธรรมะทำอะไรก็ช้าไปหมด พูดก็ช้า ทำก็ช้า คิดก็ช้า

      ก็ลองคิดกันดูว่าพระพุทธเจ้าถ้าสอนให้เป็น คนเชื่องช้า พระองค์ก็คงไม่ใช่ศาสดาเอกของโลก เป็นแน่ เพราะคนที่ช้าย่อมตกเป็นทาสของคนที่ ว่องไวและรวดเร็ว คนที่อ่อนแอย่อมตกเป็นทาส ของคนที่เข้มแข็ง คนที่โง่เขลาย่อมตกเป็นทาสของ คนชาญฉลาดและรู้มาก

      เพราะฉะนั้นธรรมะอยู่กับใคร คนนั้นจะไม่เป็นคนที่อ่อนแอ จะไม่เป็นคนที่ล่าช้า จะไม่เป็น คนที่เหลวไหล และจะไม่เป็นคนที่โง่เขลา แต่จะทำให้ผู้นั้นมีความตระหนักสำนึก รู้จักความถูกต้อง และไม่บกพร่องในหน้าที่